๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ผู้ชมโปรดอ่าน : เล่าเรื่องเก่า โยงเรื่องใหม่ (ตอน ๖)
ผู้เขียนตั้งใจทำหนังสือพระสมเด็จกรุวัดกัลยาณมิตรตั้งแต่ปีพ.ศ.
๒๕๕๖
ตอนได้พบพระกรุนี้เป็นครั้งแรกที่ตลาดพระพญาไม้
คนขายพระบอกว่าเป็นพระที่แตกกรุมานานแล้วจากวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี
ที่นั่นมีวัดเกี่ยวข้องกับสมเด็จโตอยู่สองวัด
วัดแรกคือวัดกลางคลองข่อยที่สมเด็จโตไปสร้างพระยืนองค์ใหญ่ไว้
อีกวัดคือวัดเกาะที่มีพระหลวงปู่ภูไปบรรจุกรุไว้
ปรากฏว่าไม่ใช่ทั้งสองวัด คนขายพระจำชื่อไม่ได้
รู้แต่ว่าอยู่ใกล้ตัวเมืองราชบุรี
พระกรุนี้มีคราบกรุลักษณะกรุแห้งที่น้ำท่วมไม่ถึง
องค์พระงามด้วยพิมพ์ทรงเดียวกับพระสมเด็จบางขุนพรหมครบทุกพิมพ์ทั้ง ๙
พิมพ์นิยมและพิมพ์ไสยาสน์ที่หายาก มีทั้งแบบลงรักปิดทองและแบบธรรมดา
พิมพ์ไสยาสน์มีแผงพระขายให้ลูกค้าในราคา ๕๐,๐๐๐
บาทโดยบอกว่าเป็นของกรุเจดีย์เล็กวัดใหม่อมตรส
ซึ่งไม่น่าแปลกเพราะพิมพ์ทรงเหมือนกันทุกอย่างยกเว้นรักกับคราบกรุ
ต่อมาผู้เขียนพบพระพิมพ์นี้ที่ตลาดพระอ.ต.ก.ข้างวัดไผ่ตัน
เป็นพระพิมพ์เดียวกันแต่เนื้อหาดูดีกว่า อาจเป็นเพราะคนขายที่รู้จักผู้เขียนมานานมีวิธีล้างพระให้ดูดีมาก
ๆ ตนขายที่ผู้เขียนยกย่องให้เป็นอาจารย์เพราะอายุมากและคร่ำหวอดกับการสะสมพระมานาน
อาจารย์ท่านนั้นบอกว่าได้พระมาจากอดีตมหาเปรียญ ๗ ประโยคที่เคยบวชอยู่วัดระฆังและคุ้นเคยกับพระผู้ใหญ่ในวัดอินทร์กับวัดใหม่อมตรสเป็นอย่างดี
เคยไปช่วยกดพิมพ์สร้างพระและร่วมในพิธีปลุกเสกพระหลายต่อหลายรุ่น
อดีตมหาบอกว่าพระชุดนี้มาจากกรุในองค์พระศรีอริยเมตไตรย์หรือพระยืนองค์ใหญ่ที่วัดอินทร์
เข้ากันได้กับที่ตรียัมปวายเขียนไว้ว่ามีการบรรจุพระสมเด็จโตไว้ในพระยืนวัดอินทร์
ความที่เป็นพระยืนที่สูงที่สุดทำให้น้ำท่วมกรุงเทพปี ๒๔๘๕ ท่วมไม่ถึง
เข้ากับคราบกรุที่เป็นกรุแห้ง
ข้อมูลจากสายวัดอินทร์หนักแน่นกว่าวัดทางราชบุรีที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อวัดทำให้ผู้เขียนตั้งชื่อหนังสือว่า
พระสมเด็จกรุบางขุนพรหมนอก
ซึ่งไม่ผิดกติกาอันใดเพราะวัดอินทรวิหารมีชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันสมัยก่อนว่าวัดบางขุนพรหมนอก
คู่กับวัดใหม่อมตรสที่เรียกว่าวัดบางขุนพรหมใน
อ้อ ทั้งสองวัดนี้ไม่ได้เป็นวัดเดียวกันมาก่อนจนกระทั่งมีการตัดถนนวิสุทธิกษัตริย์
เพราะทั้งสองวัดมีประวัติชัดเจนว่าสร้างในสมัยปลายอยุธยาวัดหนึ่งและสมัยกรุงธนบุรีอีกวัดหนึ่ง
ส่วนถนนวิสุทธิกษัตริย์สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕
คนละเรื่องกับที่มีคนเขียนลงในประวัติวัดแล้วลอกต่อ ๆ กันไป
ผู้เขียนประทับใจในเนื้อหาและพิมพ์ทรงมาก
เชื่อว่าพิมพ์ใช่เนื้อถึงยุคสมเด็จโต
ตั้งใจเขียนหนังสือเกี่ยวกับพระกรุนี้เป็นเล่มแรก แซงหน้าหนังสือพระหลวงปู่นาคหลวงปู่หิน
หลวงตาพันพลวงปู่ลำภูที่ตั้งใจไว้ หนังสือเขียนเสร็จแล้วรอแค่ถ่ายรูปพระให้ครบถ้วนสมบูรณ์
ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดถึงสองเหตุการณ์
เหตุการณ์แรกคือมีคนโพสต์ภาพพระกรุนี้ในเน็ตแล้วบอกว่าเป็นพระมาจากวัดกัลยาณมิตรที่อยู่ไม่ไกลจากวัดระฆัง
ตอนนั้นผู้เขียนประหลาดใจเหมือนกันที่ไม่เคยได้ข่าวพระกรุนี้มาก่อน
สงสัยเหมือนกันว่าทำไมพระชุดเดียวกันถึงมีที่มาได้หลายแห่ง
วัดกัลยาณมิตรอยู่ฝั่งธนบุรี วัดอินทร์อยู่ฝั่งกรุงเทพ ส่วนวัดไม่ทราบชื่ออยู่ราชบุรี
เป็นไปได้อย่างไรที่พระสภาพเดียวกันทั้งเนื้อและพิมพ์จะมีที่มาแตกต่างกันคนละทิศคนละทาง
กรุวัดกัลยาณมิตรมีข้อกังขาที่อยู่ริมแม่น้ำแต่คราบกรุเป็นแบบกรุแห้ง
ข้อมูลการบรรจุกรุไม่ชัดเจนว่าใครเป็นคนสร้าง
กรุวัดอินทร์มีเขียนไว้ในหนังสือพระยุคก่อนว่ามีการนำไปบรรจุไว้ในองค์พระยืน
ส่วนวัดในตัวเมืองราชบุรีไม่มีข้อมูลสนับสนุน
ผู้เขียนจึงตกลงเรียกพระกรุนี้ว่าพระสมเด็จบางขุนพรหมนอก
เพราะมั่นใจในที่มาจากวัดอินทรวิหารมากกว่าอีกสองวัด
ถ้าเหตุการณ์แรกทำให้ประหลาดใจ
เหตุการณ์หลังทำให้ผู้เขียนถึงกับช็อก คือมีคนมาบอกว่าพระชุดนี้ไม่แท้
ทำให้ผู้เขียนอดคิดไปถึงตอนเพื่อนส่งผู้เชี่ยวชาญสองท่านมาที่บริษัทแล้วลงความเห็นว่าพระบูชากับพระเครื่องของผู้เขียนเก๊หมดตามที่เคยเล่าให้ฟังแล้ว
คนที่มาทักเป็นอาจารย์ที่ผู้เขียนนับถือ
ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญพระเครื่องแต่มีความสามารถพิเศษ ในอดีตเคยทำนายเหตุการณ์ในอนาคตได้แม่นยำจนมีคนตั้งฉายาว่า
“ตาทิพย์” อาจารย์ไม่ได้บอกว่าพระไม่แท้ แต่จากการสัมผัสท่านบอกว่าไม่มีพลัง
หมายความว่าไม่มีการนำเข้าพิธีปลุกเสกแต่อย่างไร
เป็นไปได้อย่างไรที่พระชุดนี้ไม่มีพลังพุทธานุภาพ
พระสมเด็จมีทั้งผงวิเศษทั้งห้า มวลสารมงคล ตลอดจนปลุกเสกด้วยคาถาชินบัญชร
พระตระกูลสมเด็จแม้ไม่ทันสมเด็จโตแต่ถ้ามีผงของท่านหรือใช้กรรมวิธีปลุกเสกแบบเดียวกัน
ล้วนมีพุทธคุณให้สัมผัสได้ทั้งสิ้น แม้พลังพุทธานุภาพจะไม่เท่าสมเด็จโตก็ตาม
ผู้เขียนตัดสินใจเลิกล้มโครงการ
เอาเรื่องกับรูปเก็บเข้าตู้
ความตั้งใจที่จะมีผลงานเป็นหนังสือพระที่ได้มาตรฐาน
มีสาระ ต้องประสบกับความล้มเหลว เพราะแม้เนื้อหาและพิมพ์ทรงน่าจะอยู่ในยุคสมเด็จโต
แต่จะมีผลงานเขียนถึงพระของท่านทั้งที หนังสือต้องเพียบพร้อม สมบูรณ์ และบริสุทธิ์
จะมีอะไรด่างพร้อยแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้ เพราะหนังสือจะอยู่คู่วงการพระไปอีกนาน
แม้คนเขียนจะหาชีวิตไม่แล้วก็ตาม
ผู้เขียนมารู้ทีหลังว่าพระชุดนี้มีนายทหารเรือใหญ่ระดับนายพลออกมายืนยันความเก่าถึงกับนำไปทดสอบทางวิทยาศาสตร์กับสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติและมีใบรับรองยืนยันว่าพระมีอายุไม่ต่ำกว่า
๑๔๐ ปี ผู้เขียนเคารพในเจตนาที่ไม่มีอะไรแอบแฝงของนายทหารเรือท่านนี้แม้โดยส่วนตัวไม่เคยเชื่อว่าการใช้คาร์บอน
๑๔ จะหาอายุพระสมเด็จที่อายุเพียงร้อยปีเศษได้
คงเป็นความตั้งใจดีของท่านในการแนะนำพระสมเด็จกรุนี้ให้เป็นทางเลือกให้ผู้ศรัทธาได้เช่าบูชาในราคาไม่แพง
เป็นเรื่องน่าแปลกทีเดียวที่พระชุดนี้มีความเก่าที่เห็นได้ชัด
พิมพ์ทรงที่ถูกต้องตามพิมพ์นิยมของพระสมเด็จโต มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าสร้างในยุคสมเด็จโตยังมีชีวิตอยู่
แต่เป็นพระไม่มีพลัง ไม่มีพุทธานุภาพที่จะปกป้องคุ้มครองผู้สวมใส่ได้
วงการพระเครื่องสายพุทธพาณิชย์ย้ำนักย้ำหนาว่าการเช่าพระต้องดูพิมพ์ทรงเป็นหลัก
เนื้อหาเป็นรอง ส่วนการจับพลังพระเป็นสิ่งหลอกลวง แต่สำหรับผู้เขียน
พิมพ์ทรงและเนื้อหาเป็นเพียงการรับรู้ของอายนตะทางจักษุ
ยังมีอายตนะอื่นโดยเฉพาะอายตนะที่หกที่สามารถเข้าถึงพลังพุทธคุณ ธรรมคุณ
และสังฆคุณได้ เพราะเป็นอายตนะของ “ใจ” เป็นความสามารถเฉพาะตัว รับรู้ได้ด้วยตนเอง
จะทำหนังสือพระสมเด็จทั้งทีต้องครบถ้วน
ไม่หลอกลวงคนอ่าน ข้อสำคัญคือไม่หลอกตัวเอง หนังสือดีต้องดีทุกด้าน
...............................................
จบตอน ๖
No comments:
Post a Comment