Tuesday, July 17, 2012

วงการพระเครื่องสิ้นปี 2555_17 ก.ค. 55


สวัสดีท่านผู้อ่าน
                ตอนนี้เท่าที่สำรวจดูตามแผงหนังสือ และถามไถ่คนในวงการที่รู้จัก วงการพระเครื่องอยู่ในสภาพของ
1.       ไม่มีของขาย
2.       ถึงมีราคาก็แพง
3.       บูมพระไม่ขึ้น
              พูดง่าย ๆ ตอนนี้วงการทั้งหมดถ้าเป็นธุรกิจ ก็ต้องบอกว่าเป็นขาลงหรือที่เรียกว่า Sunset  คือ พระอาทิตย์ตก ความมืดทะมึนกำลังเข้ามาเยือน 
                ศูนย์พระที่เปิดกันทั่วเมือง ศูนย์พันธุ์ทิพย์ที่น่าจะไปลง Guiness Book ได้ว่าเป็นศูนย์พระเครื่องที่ใหญ่ที่สุด กำลังอยู่ในสภาพตกอับ ความโลภจากเจ้าของใหม่ที่ขึ้นค่าเช่าทุกปี กำลังผลักดันให้เกิดการย้ายออก ศูนย์มณเฑียรก็ได้ข่าวว่าจะย้ายไปที่อื่นที่ค่าเช่าถูกกว่า
                ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเซียนใหญ่ ที่กุมบังเหียนสมาคมก็ยังพอหายใจได้ มีน้ำเลี้ยงจากเศรษฐีมือใหม่ที่อยากมีพระเครื่องไว้อวดบารมี หลังจากมีรถเบ๊นซ์เต็มบ้าน แต่พวกอยู่ห่างไกลออกไปเริ่มรู้ถึงความหนาวเย็น และความอดอยากที่กำลังคืบคลานเข้ามา เพราะอยู่ไกลเกินไปฝนตกไม่ทั่วฟ้า ผลประโยชน์ไปไม่ทั่วถึง
                สองปีก่อนมีการงัดรูปแบบการตลาดแบบใหม่ โดยการ “แช่ง” หรือออกข่าวว่าเกจิดังโคราชจะละสังขาร ปั่นพระของท่านขึ้นราคาโดยทั่วหน้า พิมพ์กรรมการบางพิมพ์โดดเข้าใกล้หลักแสน บาปกรรมไม่รู้จะเท่าไหร่
                การตลาดแบบผลักดันราคาให้สูงติดเพดาน เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น เผื่อตัวเองและกลุ่มจะได้ไปรอด  แต่ไม่ใช่การตลาดที่ยั่งยืน เพราะพระเครื่องไม่ใช่สินค้าไอที ที่ทุก 2 ปี ราคาจะถูกลงครึ่งหนึ่ง หรือราคาคงที่แต่แรงขึ้น 2 เท่า
                พระเครื่องกับมีของจำกัด หมดแล้วหมดเลยของใหม่สู้ของเก่าไม่ได้ ยิ่งของเก่าก่อนปี พ.ศ.2500 ยิ่งเปี่ยมไปด้วยพุทธคุณ เพราะพระเกจิผู้สร้างสรรค์ได้อาศัยธรรมชาติของป่าเขาลำเนาไพร บำเพ็ญภาวนาสร้างพลังจากสมบัติที่จากการปลีกวิเวกปฏิบัติธรรม
                หลังปี พ.ศ. 2500 เกจิที่เป็นหลักในวงการก็คือ หลวงพ่อพรหมวัดช่องแค กับหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ และบารมีจากหลวงพ่อทวด ที่เปิดศักราชใหม่ให้กับวงการพระเครื่องที่ยืนยงจนถึงทุกวันนี้ เริ่มจากพระเนื้อว่านพิมพ์เล็บมือและเล็บเหยี่ยว ในปี พ.ศ.2497 ตามด้วยพระเนื้อชิน หลังเตารีดในปี พ.ศ. 2505 แพร่หลายไปที่วัดทางใต้และกรุงเทพในยุคหลวงปู่ทิม ต่อเนื่องมาถึงอาจารย์นองวัดทรายขาว และวัดห้วยมงคลในปัจจุบัน
                แต่ก็นานหลายปีมาแล้ว พิษสงจากจตุคามรามเทพยังไม่หายจากความทรงจำ ก็เจอภัยจากการเมืองเมื่อ 2 ปีก่อน และภัยธรรมชาติเมื่อปีที่แล้ว
                ปีนี้ปลายปีจะเจออะไร
                แน่นอนภัยเศรษฐกิจจากยุโรปกำลังจ่อคิวอยู่ หลังโอลิมปิกเกมส์ที่ลอนดอนทุกคนจะหนาว จากภัยเศรษฐกิจจากประชาคมยุโรป แผ่มาถึงเอเซียและประเทศไทย
                ถ้าภัยของการเมืองปะทุในช่วงนั้น ตามด้วยภัยธรรมชาติซึ่งมีสัญญาณเตือนจากอริยสงฆ์สายวัดป่าว่าน้ำจะท่วมมากกว่าปีที่แล้ว
                วงการพระเครื่องปลายปี พ.ศ. 2555 มีอย่างเดียว
                เงียบและเงียบ


วิภัชวาที
ป.ล.  คราวหน้าจะเป็นตอนจบของมินิซีรี่นี้ครับ

Sunday, July 1, 2012

รายงานสภาพตลาดพระ_ 1 กค 2555

สวัสดีท่านผู้อ่าน

เมื่อวานไปตลาดนัดจตุจักร แวะคุยที่แผงพระคนคุ้นกันหลายแผง ดูเงียบเหงาจัง ขนาดนั่งคุยเป็นชั่วโมงบนแผงด้านถนนกำแพงเพชรฝั่งตรงข้าม อตก ยังไม่มีคนมาดูพระเลย
คนขายบอกเงียบมา 2 เดือนแล้ว

พันธุ์ทิพย์งามวงศ์วานก็ได้ข่าวว่ามีแต่คนขาย เดินไปเดินมาเหมือนกัน
สองวันก่อนไปดูหนังสือพระตามแผงก็ไม่มีพระอะไรเด่นเป็นพิเศษ เหมือนว่ามันเนือย ๆ ไม่มีการโปรโมทพระให้ตื่นเต้นเร้าใจ

เกิดอะไีรขึ้นกับวงการพระเครื่องหรือ

คำตอบก็คือวงการพระเครื่องเลยจุดสูงสุดของความเป็นธุรกิจแล้ว และกำลังอยู่ในขาลง

ก่อนหน้านี้ก็ปีพ.ศ. 2540 ที่ตกต่ำสุด ๆ จากพิษเศรษฐกิจซบเซาจากการลดค่าเงินบาท มาฟื้นตัวได้สมัยทักษิณเป็นนายก และขึ้นสู่จุดสูงสุดในปี 2549 เมื่อกระแสจตุคามรามเทพมาแรงจัด พอจตุคามรามเทพสร้างกันแทบจะทุกวัดทั่วประเทศ คนขายพระแฮปปี้กันทั่วหน้า ใคร ๆ ก็ขายจตุคาม ร้านเลี่ยมพระแทบจะว่าเลี่ยมจตุคามตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น จนเกือบเที่ยงคืน พวกเพ้นท์สีก็ทำกันจนตาลาย โรงงานทำตลับฉวยโอกาสขึ้นราคาตลับทุกชนิด วัด 200 กว่าวัดสร้างจตุคามออกมารวม ๆ เป็นหลักหลายร้อยล้านองค์
supply ก็ท่วม demand คนในวงการที่กลับตัวไม่ทันก็เจ็บตัวทั้งผู้ซื้อผู้ขาย

จากนั้นเซียนใหญ่ก็คิดแผนการตลาดใหม่ เอาตัวรอดแต่พวกตัวเอง บูมราคาพระแบบบ้าเลือด เริ่มจากต่อยหมัดหนึ่งสองให้การ์ดตกก่อน หมัดหนึ่ง ตั้งผู้เชี่ยวชาญด้านเหรียญพร้อมกับเปิดตัวเคล็ดลับตัวตัด เหรียญใครขอบไม่ตัดตามนั้น ตีเก๊ทันที ทฤษฎีดูเหรียญอย่างอื่นเป็นพับไป แล้วตามด้วยหมัดสอง ออกหนังสือเหรียญเพื่อเผยแพร่เป็นตำรา หนังสือเหรียญแม้แต่ของสามารถ คงสัตย์ ก็ใช้ไม่ได้ ลูกกะตาไม่มีความหมาย ดูตัวตัดอย่างเดียว
หมัดน็อคเอาท์เข้าคางคือการดันเหรียญตัวท้อป คือเหรียญหลวงพ่อกลั่นวัดพระญาติให้ทะลุ 10 ล้าน เท่านี้เหรียญเบญจภาคีอื่น ๆ เช่นหลวงพ่อคง หลวงปู่ศุข หลวงปู่เอี่ยม ก็ทะลวงผ่านหลักล้านอย่างง่ายดาย เปิดทางให้เหรียญแถวหน้าที่รอคิว เช่นเหรียญหลวงพ่อแดงวัดเขาบันไดอิฐ ทะลุขึ้นหลักหลาย ๆ แสน

ทีนี้มาถึงพระชุดอื่นบ้าง หลวงพ่อทวดวัดช้างให้เนื้อว่านก็ถูกดันให้ทะลุหลักล้าน ในขณะที่เนื้อโลหะหลังเตารีดปี 2505 ก็ทยานขึ้นหลักหลายแสน ดึงเอาพระรุ่นที่ไม่ทันอาจารย์ทิมเช่นพระปี 2524 ทะลุหลักหมื่น

ล่าสุดที่รายงานเมื่อสองวันก่อนคือพระกำแพงลีลาเม็ดขนุน ซึ่งเคยครองตำแหน่งพระเบญจภาคีก่อนที่จะถูกพิมพ์ซุ้มกอเขี่ยตกบัลลังก์ ก็บูมกันจนใกล้หลัก 10 ล้านแล้ว

วิธีโปรโมทพระให้มีราคาแพงหูฉี่ก็คือกลยุทธ์การตลาดที่ว่า เมื่อพระมีน้อย ต้องทำกำไรต่อองค์ให้มากที่สุด คือขึ้นราคาให้หายบ้าไปเลย
ปัญหาที่ตามมาก็คือตัวเองไม่สามารถผูกขาด supply ที่จะเข้าตลาดได้ เพราะไม่ใช่พระใหม่ แต่เป็นพระเก่านับร้อยปีขึ้นไปที่แพร่หลายอยู่หลายสิบปีแล้ว ดังนั้นไม่ใช่เฉพาะกลุ่มของตัวเองที่มีพระเหล่านั้น พอพระแพงคนอื่นเขาก็มีเหมือนกัน
แต่พอเขาจะขายราคาแพง ๆ แบบของตัวมั่ง ผลประโยชน์ที่ขัดกัน หรือที่ตัวเองไม่ได้อะไรเพราะไม่ใช่พระในกลุ่มตัวเอง ก็เกิดการสวดพระของเขาขึ้น
ถ้าคนถูกสวดเป็นนักเล่นพระหน้าใหม่หรือเซียนเล็ก ๆ ก็ต้องทำตาปริบ ๆ ยอมรับสภาพ แต่ถ้าเป็นเซียนใหญ่มีพวกมากก็โต้ตอบได้ ประเภท คุณสวดพระผม ผมก็สวดพระคุณบ้าง
แล้วคนซื้อไม่งงเต้กหรือ

ยิ่งพระยิ่งแพงขึ้น ๆ คนซื้อก็เหลือกลุ่มเดียว คือเศรษฐีที่มีเงินถุงเงินถัง แต่พวกนี้ก็ไม่โง่ พวกก็เยอะ ที่ปรึกษาก็เพียบ แถมตอนคืนพระยังมีคนมีสีให้ใช้บริการอีก
ส่วนชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่เผอิญมีพระที่ว่าก็อยากได้เงินมั่ง คิดว่าเขาขายพระราคาหลายล้าน ก็คงซื้อเข้าหลายแสน พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ถูกล้อมหน้าล้อมหลัง ตีเหมาเป็นพระเก๊ แต่ขอซื้อหลักหมื่นเอาไว้ศึกษา

มีเรื่องเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง
พรรคพวกที่เป็นคนขายพระอยู่คนหนึ่งลองเอาพระรูปหล่อหลวงพ่่อเงินวัดบางคลานพิมพ์นิยม สวยเชียะขนาดชนะการประกวดถึง 5 โล่ ตั้งราคา 3.5 ล้านบาทให้พวกเอาไปขายศูนย์ใหญ่ กะว่าถ้าถูกต่อเหลือล้านเศษก็จะขาย ปรากฏว่าโดนตีเก๊ตามระเบียบ แต่ขอซื้อไว้ดูเป็นตัวอย่างในราคา 1 แสนบาท

พูดง่าย ๆ ถ้าเก๊จริง จะเช่าถึง 1 แสนหรือ
แม้แต่พระสมเด็จที่ขายกันหลายล้าน ลองเอาพระแบบนั้นไปขายเซียนใหญ่บ้าง อย่างมากได้แค่หลักหมื่น

นี่คือผลประโยชน์ที่แบ่งไม่ทั่วถึง ได้เฉพาะคนหมู่น้อยในกลุ่มตัวเอง

ตอนหน้าจะวิเคราะห์ต่อว่าสิ้นปีนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับวงการพระเครื่อง

วิภัชวาที