๖ เมษายน ๒๕๕๙
ผู้ชมโปรดอ่าน : เล่าเรื่องเก่า โยงเรื่องใหม่ (ตอน ๑๐)
หนังสือ “พระสมเด็จบางขุนพรหมที่หายไป” เล่าถึงเหตุการณ์ที่มีคนลอบเข้าไปขุดเจดีย์ใหญ่วัดบางขุนพรหมในถึงสองครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน
ก่อนทางวัดจะเปิดกรุเป็นทางการต่อมา
ถ้าข้อมูลของผู้รู้เหตุการณ์ครั้งลอบขุดกรุเป็นจริง
รวมทั้งพระสมเด็จจำนวนมากที่ผู้เขียนได้พบเป็นสมเด็จบางขุนพรหมทั้งกล่อง
เท่ากับศักราชใหม่ของการศึกษาพระสมเด็จที่ผู้เขียนเรียกว่า
“พระสมเด็จวิทยา” ได้เริ่มขึ้นแล้ว
เพราะพระสมเด็จแต่ละองค์มีเรื่องเล่ามากมายทั้ง พิมพ์ทรง เนื้อหา และคราบกรุ
หรือจะเล่าตามพื้นฐานขั้นต้นทั้ง ๗ ที่ผู้เขียนสรุปไว้ใน AmuletEZ Level 1 ก็สามารถเขียนได้เป็นหน้า
ๆ แบบเดียวกับที่คุณประเสริฐศักดิ์สมาชิกท่านหนึ่งของเราได้เล่าไว้
สายพุทธพาณิชย์มองพระแต่ละองค์เหมือนมองธนบัตรหรือเงินสด
ดูว่ามี “มุม” หรือช่องทางจะขายได้หรือไม่ ถ้าดูแล้วมีมุมของแบ๊งค์
แม้พระจะไม่แท้เขาก็ซื้อ เพราะเห็นโอกาสในการซื้อขาย
ต่างกับสายวิชาการที่จะศึกษาด้านศิลปะ พิมพ์ทรง ตลอดจนรายละเอียดต่าง ๆ
ก่อนจะสรุปว่าพระองค์นั้นเป็นอย่างไร ผ่าน หรือไม่ผ่าน
เป็นการวิเคราะห์ที่ให้ความเป็นธรรมแก่พระสมเด็จทุกองค์ที่นำมาพิจารณาด้วยหลักวิชาและขบวนการตรวจสอบ
ไม่ใช่มองปุ๊บ บอกปั๊บ ว่าพระแท้หรือไม่แท้
ถามจริง ๆ คนที่เราเอาพระไปให้ดูที่เรียกกันว่า
“เซียนพระ”นั้น แต่ละท่านเก่งกาจมาจากไหน มีความรู้หรือผ่านการศึกษาหรืออบรมมาจากที่ใด
ส่วยใหญ่เป็นแค่ “คนขายพระ” ไม่ใช่ “นักพระสมเด็จวิทยา” ซึ่งเป็น “คนศึกษาพระ”
ถ้าวงการพระมี “นักพระสมเด็จวิทยา” อยู่บ้าง
คงไม่เงียบเหงาเช่นทุกวันนี้
เพราะวิทยาการก้าวหน้าไปตามผู้ศึกษาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่เหมือนเศรษฐกิจที่มีการขึ้น ๆ ลง ๆ ตามวงจรวัฏจักรของหลักเศรษฐศาสตร์สายวิชาการจะรวบรวมเรื่องราวของพระสมเด็จแต่ละองค์มาเป็นฐานความรู้ก่อนจะเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนให้รู้ว่าวงการพระเครื่องยังมีเรื่องของวิชาการอยู่บ้าง
พระตระกูลสมเด็จหลายสิบล้านองค์ก็จะมีเรื่องเล่าหลายสิบล้านเรื่อง
วงการพระเครื่องก็จะคึกคักไปด้วยบรรยากาศของความรู้ แทนที่จะซบเซาตามสภาพเศรษฐกิจ
เรื่องเล่าหรือเนื้อหาเหล่านี้ฝรั่งเรียกว่าคอนเท้นท์
(content) ปี
พ.ศ. ๒๕๕๔ ตอนไปทำงานอเมริกาลูกสาวฝากซื้อหนังสือการตลาดชื่อ Content Rules
มาถึงตอนนี้ก็ ๕ ปีเข้าไปแล้วที่เห็นชัดว่าการตลาดเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ทุกผลิตภัณฑ์ไม่ว่าสินค้าหรือบริการที่ขาย ต้องมีเนื้อหา (content)
ที่สามารถจับประเด็นมาเล่าประกอบการขายได้
มีแต่สายพุทธพาณิชย์เท่านั้นที่ขายพระโดยไม่มีเนื้อหาหรือเรื่องเล่าของพระองค์นั้น
ไม่นับการรับรองอย่างลม ๆ แล้ง ๆ ของผู้ขาย
อย่างมากมีแค่ใบประกาศจากงานประกวด ใบเซอร์หรือใบรับรองจากบุคคล
สถาบันแอบอ้าง หรือเว็บไซต์ขายพระ ซึ่งเป็นแค่กระดาษหรือแผ่นพลาสติกเล็ก ๆ
ใบหนึ่งเท่านั้น วุฒิบัตรการศึกษาหรือใบปริญญายังต้องอ้างถึงหลักสูดรการสอนหรืออบรมภายใต้มาตรฐานของสถาบัน
ส่วนใบประกาศหรือใบเซอร์มีใครรับรองบ้าง
เรื่องเล่าหรือเนื้อหาต่างหากที่วงการพระต้องการ
พระสมเด็จบางขุนพรหมที่หายไปก่อนเปิดกรุจะเป็นข้อมูลที่รอการศึกษา วิเคราะห์
ก่อนสรุปเป็นความรู้ใหม่ให้ผู้สนใจพระสมเด็จได้รับทราบ
ข้อมูลเหล่านี้จะมาแทนที่ข้อมูลเก่า ๆ เดิม ๆ ที่คัดลอกกันมาซ้ำ ๆ ซาก ๆ
ตั้งแต่สมัยตรียัมปวายเขียนเรื่องพระสมเด็จ
ข้อมูลจากหนังสือตรียัมปวายยังตีความไม่ถ่องแท้
รูปพระถึงแม้จะไม่ชัดเจนยังถูกกล่าวหาจากสายพุทธพาณิชย์ว่าไม่ใช่
ประเด็นนี้ประเด็นเดียวเท่ากับวงการพระเครื่องถอยหลังเข้าคลอง เพราะ ๖๕ ปีมาแล้วนับแต่ตรียัมปวายวิเคราะห์เรื่องพระสมเด็จ
ข้อมูลเรื่องพระสมเด็จไม่มีอะไรใหม่
ถ้าเปรียบเหมือนน้ำในคลองที่ไม่มีการเพิ่มเติมหรือหมุนเวียน
ป่านนี้กลายเป็นน้ำเน่าไปแล้ว
รู้ไหมว่าข้อมูลในโลกการตลาดยุคดิจิตอลเพิ่มขึ้นเท่าตัวทุก ๆ ๖ เดือน
หนังสือ “พระสมเด็จบางขุนพรหมที่หายไป”
จะเป็นเหมือนกุญแจไขไปสู่ขุมทรัพย์ข้อมูลอันมหาศาลจากการเปิดเผยความลับของผู้อยู่ในเหตุการณ์ลอบขุดกรุที่เก็บเงียบไว้กับตัวเองมาเกือบ
๖๐ ปี
ความลับเหล่านั้นมีอะไรบ้าง ผู้เขียนจะทยอยเล่าให้ฟังต่อไป
......................................... จบตอน ๑๐ ...........................................
No comments:
Post a Comment