Sunday, July 1, 2012

รายงานสภาพตลาดพระ_ 1 กค 2555

สวัสดีท่านผู้อ่าน

เมื่อวานไปตลาดนัดจตุจักร แวะคุยที่แผงพระคนคุ้นกันหลายแผง ดูเงียบเหงาจัง ขนาดนั่งคุยเป็นชั่วโมงบนแผงด้านถนนกำแพงเพชรฝั่งตรงข้าม อตก ยังไม่มีคนมาดูพระเลย
คนขายบอกเงียบมา 2 เดือนแล้ว

พันธุ์ทิพย์งามวงศ์วานก็ได้ข่าวว่ามีแต่คนขาย เดินไปเดินมาเหมือนกัน
สองวันก่อนไปดูหนังสือพระตามแผงก็ไม่มีพระอะไรเด่นเป็นพิเศษ เหมือนว่ามันเนือย ๆ ไม่มีการโปรโมทพระให้ตื่นเต้นเร้าใจ

เกิดอะไีรขึ้นกับวงการพระเครื่องหรือ

คำตอบก็คือวงการพระเครื่องเลยจุดสูงสุดของความเป็นธุรกิจแล้ว และกำลังอยู่ในขาลง

ก่อนหน้านี้ก็ปีพ.ศ. 2540 ที่ตกต่ำสุด ๆ จากพิษเศรษฐกิจซบเซาจากการลดค่าเงินบาท มาฟื้นตัวได้สมัยทักษิณเป็นนายก และขึ้นสู่จุดสูงสุดในปี 2549 เมื่อกระแสจตุคามรามเทพมาแรงจัด พอจตุคามรามเทพสร้างกันแทบจะทุกวัดทั่วประเทศ คนขายพระแฮปปี้กันทั่วหน้า ใคร ๆ ก็ขายจตุคาม ร้านเลี่ยมพระแทบจะว่าเลี่ยมจตุคามตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น จนเกือบเที่ยงคืน พวกเพ้นท์สีก็ทำกันจนตาลาย โรงงานทำตลับฉวยโอกาสขึ้นราคาตลับทุกชนิด วัด 200 กว่าวัดสร้างจตุคามออกมารวม ๆ เป็นหลักหลายร้อยล้านองค์
supply ก็ท่วม demand คนในวงการที่กลับตัวไม่ทันก็เจ็บตัวทั้งผู้ซื้อผู้ขาย

จากนั้นเซียนใหญ่ก็คิดแผนการตลาดใหม่ เอาตัวรอดแต่พวกตัวเอง บูมราคาพระแบบบ้าเลือด เริ่มจากต่อยหมัดหนึ่งสองให้การ์ดตกก่อน หมัดหนึ่ง ตั้งผู้เชี่ยวชาญด้านเหรียญพร้อมกับเปิดตัวเคล็ดลับตัวตัด เหรียญใครขอบไม่ตัดตามนั้น ตีเก๊ทันที ทฤษฎีดูเหรียญอย่างอื่นเป็นพับไป แล้วตามด้วยหมัดสอง ออกหนังสือเหรียญเพื่อเผยแพร่เป็นตำรา หนังสือเหรียญแม้แต่ของสามารถ คงสัตย์ ก็ใช้ไม่ได้ ลูกกะตาไม่มีความหมาย ดูตัวตัดอย่างเดียว
หมัดน็อคเอาท์เข้าคางคือการดันเหรียญตัวท้อป คือเหรียญหลวงพ่อกลั่นวัดพระญาติให้ทะลุ 10 ล้าน เท่านี้เหรียญเบญจภาคีอื่น ๆ เช่นหลวงพ่อคง หลวงปู่ศุข หลวงปู่เอี่ยม ก็ทะลวงผ่านหลักล้านอย่างง่ายดาย เปิดทางให้เหรียญแถวหน้าที่รอคิว เช่นเหรียญหลวงพ่อแดงวัดเขาบันไดอิฐ ทะลุขึ้นหลักหลาย ๆ แสน

ทีนี้มาถึงพระชุดอื่นบ้าง หลวงพ่อทวดวัดช้างให้เนื้อว่านก็ถูกดันให้ทะลุหลักล้าน ในขณะที่เนื้อโลหะหลังเตารีดปี 2505 ก็ทยานขึ้นหลักหลายแสน ดึงเอาพระรุ่นที่ไม่ทันอาจารย์ทิมเช่นพระปี 2524 ทะลุหลักหมื่น

ล่าสุดที่รายงานเมื่อสองวันก่อนคือพระกำแพงลีลาเม็ดขนุน ซึ่งเคยครองตำแหน่งพระเบญจภาคีก่อนที่จะถูกพิมพ์ซุ้มกอเขี่ยตกบัลลังก์ ก็บูมกันจนใกล้หลัก 10 ล้านแล้ว

วิธีโปรโมทพระให้มีราคาแพงหูฉี่ก็คือกลยุทธ์การตลาดที่ว่า เมื่อพระมีน้อย ต้องทำกำไรต่อองค์ให้มากที่สุด คือขึ้นราคาให้หายบ้าไปเลย
ปัญหาที่ตามมาก็คือตัวเองไม่สามารถผูกขาด supply ที่จะเข้าตลาดได้ เพราะไม่ใช่พระใหม่ แต่เป็นพระเก่านับร้อยปีขึ้นไปที่แพร่หลายอยู่หลายสิบปีแล้ว ดังนั้นไม่ใช่เฉพาะกลุ่มของตัวเองที่มีพระเหล่านั้น พอพระแพงคนอื่นเขาก็มีเหมือนกัน
แต่พอเขาจะขายราคาแพง ๆ แบบของตัวมั่ง ผลประโยชน์ที่ขัดกัน หรือที่ตัวเองไม่ได้อะไรเพราะไม่ใช่พระในกลุ่มตัวเอง ก็เกิดการสวดพระของเขาขึ้น
ถ้าคนถูกสวดเป็นนักเล่นพระหน้าใหม่หรือเซียนเล็ก ๆ ก็ต้องทำตาปริบ ๆ ยอมรับสภาพ แต่ถ้าเป็นเซียนใหญ่มีพวกมากก็โต้ตอบได้ ประเภท คุณสวดพระผม ผมก็สวดพระคุณบ้าง
แล้วคนซื้อไม่งงเต้กหรือ

ยิ่งพระยิ่งแพงขึ้น ๆ คนซื้อก็เหลือกลุ่มเดียว คือเศรษฐีที่มีเงินถุงเงินถัง แต่พวกนี้ก็ไม่โง่ พวกก็เยอะ ที่ปรึกษาก็เพียบ แถมตอนคืนพระยังมีคนมีสีให้ใช้บริการอีก
ส่วนชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่เผอิญมีพระที่ว่าก็อยากได้เงินมั่ง คิดว่าเขาขายพระราคาหลายล้าน ก็คงซื้อเข้าหลายแสน พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ถูกล้อมหน้าล้อมหลัง ตีเหมาเป็นพระเก๊ แต่ขอซื้อหลักหมื่นเอาไว้ศึกษา

มีเรื่องเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง
พรรคพวกที่เป็นคนขายพระอยู่คนหนึ่งลองเอาพระรูปหล่อหลวงพ่่อเงินวัดบางคลานพิมพ์นิยม สวยเชียะขนาดชนะการประกวดถึง 5 โล่ ตั้งราคา 3.5 ล้านบาทให้พวกเอาไปขายศูนย์ใหญ่ กะว่าถ้าถูกต่อเหลือล้านเศษก็จะขาย ปรากฏว่าโดนตีเก๊ตามระเบียบ แต่ขอซื้อไว้ดูเป็นตัวอย่างในราคา 1 แสนบาท

พูดง่าย ๆ ถ้าเก๊จริง จะเช่าถึง 1 แสนหรือ
แม้แต่พระสมเด็จที่ขายกันหลายล้าน ลองเอาพระแบบนั้นไปขายเซียนใหญ่บ้าง อย่างมากได้แค่หลักหมื่น

นี่คือผลประโยชน์ที่แบ่งไม่ทั่วถึง ได้เฉพาะคนหมู่น้อยในกลุ่มตัวเอง

ตอนหน้าจะวิเคราะห์ต่อว่าสิ้นปีนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับวงการพระเครื่อง

วิภัชวาที

No comments:

Post a Comment